ARTICLES ON BUDDHISM

บุพจริยาของพระพุทธเจ้า

ความประพฤติในอดีตของพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าของเรา นับแต่ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระทีปังกรพุทธเจ้าเป็นพระองค์แรก ว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน ในอีก ๔ อสงไขยกัปเบื้องหน้า พระองค์ก็ได้ทรงบำเพ็ญบารมีเรื่อยมาโดยผ่านการพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าต่อจากพระทีปังกรพุทธเจ้าอีก ๒๓ พระองค์ จนบารมีเต็มเปี่ยมครบ ๓๐ ถ้วน ในพระชาติสุดท้าย ที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ได้ออกมหาภิเนษกรมณ์บำเพ็ญเพียรอยู่ถึง ๖ ปี จึงได้ทรงบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ผู้ทรงรอบรู้ธรรมทั้งปวง ทรงพระคุณใหญ่ หาผู้เสมอเหมือนมิได้ น่าอัศจรรย์

ถึงกระนั้นในอดีตอันยาวนานที่ผ่านมา พระองค์ก็ทรงได้กระทำ ทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว อันเป็นเหตุให้พระองค์ได้รับผลของกรรมเหล่านั้นในชาติต่างๆ ที่แม้ในชาติสุดท้ายจะได้ทรงเป็นพระพุทธเจ้าผู้ทรงมีอานุภาพยิ่งใหญ่ เป็นทั้งครูของเทวดาและมนุษย์ไม่มีใครเทียบได้ก็ตาม พระองค์ก็มิอาจหลีกเลี่ยง การที่จะต้องรับผลของกรรมที่พระองค์กระทำไว้ไปได้เลย

พระพุทธองค์ตรัสถึงบุพจริยาของพระองค์เอง ทั้งที่เป็นกุศล และอกุศล รวม ๑๔ ข้อ ไว้ใน ขุททกนิกาย อปทาน พุทธปทาน ชื่อ ปุพกรรมปิโลติกะ ข้อ ๓๙๒ดังนี้

พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นนายกของโลก แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์เป็นอันมาก ประทับนั่งอยู่บนพื้นหินอันเป็นรมณียสถาน โชติช่วงด้วยแก้วต่างๆ ในระแวกป่าอันมีกลิ่นหอมต่างๆ ใกล้สระอโนดาตได้ตรัสแจ้งบุพกรรม คือกรรมในอดีตทั้งหลายของพระองค์ ณ ที่นั้นว่า

บุพกรรมฝ่ายกุศล

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังกรรมที่ที่เราทำมาแล้วของเรา เราเห็นภิกษุผู้ถือการอยู่ป่าเป็นวัตรรูปหนึ่ง แล้วถวายผ้าเก่า เราปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าในการนั้น ผลแห่งกรรมคือการถวายผ้าเก่า ย่อมอำนวยผลให้เป็นพระพุทธเจ้า นี้คือบุพกรรมฝ่ายกุศลในครั้งแรกของเรา

และในอรรถา ขุททกนิกาย พุทธวงค์ ในนิทานกาลไกลนั้นได้พรรณนาบุพกรรมในฝ่ายกุศล ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้ไว้อีกว่า

พระโพธิสัตว์ของเราทรงกระทำความดีอันยิ่งใหญ่ในสำนักของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ มาแล้วถึง ๒๔พระองค์ มีพระทีปังกรพุทธเจ้าเป็นต้น เป็นกาลที่ยาวนานถึง ๔ อสงไขยกำไรอีก แสนกัปป์ ทรงได้รับพยากรณ์ว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ได้ทรงบำเพ็ญพุทธการกธรรม อันมี

ทานบารมี

ศีลบารมี

เนกขัมมบารมี

ปัญญาบารมี

วิริยบารมี

ขันติบารมี

สัจบารมี

อธิษฐานบารมี

เมตตาบารมี

อุเบกขาบารมี

บารมีทั้งสิบที่พระโพธิสัตว์ผู้รวบรวมธรรม ๘ ประการเหล่านี้ อภินิหารย่อมสำเร็จได้เพราะรวบรวมธรรม ๘ ประการคือ

๑.     มนุสสัตตะ เป็นมนุษย์

๒.     ลิงคสัมปัตติ เป็นเพศบุรุษ

๓.     เหตุ มีอุปนิสัยสมบัติบรรลุมรรคผลได้

๔.     สัตถารทัสสนะ พบพระพุทธเจ้าในขณะที่ยังทรงพระชนม์อยู่

๕.     ปัพพัชชา บวชเป็นดาบสหรือภิกษุอยู่

๖.     คุณสมบัติ ได้สมาบัติ ๘ และอภิญญา ๕

๗.     อธิการ อาจสละชีวิตแก่พระพุทธเจ้าได้

๘.     ฉันทตา มีฉันทะ อุตสาหะ บำเพ็ญพุทธการกธรรม

อภินิหารย่อมสำเร็จได้ เพราะรวบรวม ธรรม ๘ ประการเหล่านี้ พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญพุทธการกธรรม อธิษฐานข้อวัตรให้ยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บรบูรณ์ ตราบจนมาถึงอัตภาพที่เป็นพระเวสสันดร อันเป็นพระชาติสุดท้ายของการบำเพ็ญบารมี พระองค์ได้ทรงทำบุญอันยิ่งใหญ่ ที่ทำให้มหาปฐพีไหวถึง ๗ ครั้งสุดท้ายแห่งอายุ ก็จุติจากอัตภาพพระเวสสันดร บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต นี้เป็นบุพกรรมอันยิ่งใหญ่ฝ่ายกุศล

บุพกรรมฝ่ายอกุศล

๑.     กรรมที่กระทำให้กระหายน้ำ

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า

ในกาลก่อน เราเป็นนายโคบาล ต้อนโคไปเลี้ยง แม่โคกำลังดื่มน้ำขุ่นมัว จึงห้ามมัน ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ในภพหลังสุดนี้แม้เรากระหายน้ำก็ไม่ได้ดื่มน้ำตามปรารถนา

ในมหาปรินิพพานสูตร ข้อ ๑๑๘ – ๑๑๙ กล่าวว่า หลังจากพระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยภัตตาหารของนายจุนทกัมมารบุตรแล้ว ทรงอาพาธหนักใกล้นิพพาน ระหว่างทางที่จะไปกุสินารา ทรงกระหายน้ำ ตรัสสั่งพระอานนท์ให้ไปนำน้ำมาถึง ๓ ครั้งจึงได้ดื่มน้ำตามพระประสงค์

๒.     กรรมที่ทำให้ถูกกล่าวตู่

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า

ในชาติอื่นในกาลก่อน เราเป็นนักเลงชื่อว่า ปุนาลิ ได้กล่าวตู่พระปัจเจกพุทธเจ้า ชื่อว่า สุรภี ผู้ไม่ประทุษร้ายตอบ ด้วยวิบากกรรมนั้นเราท่องเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานาน ด้วยผลกรรมที่เหลือนั้น ในภพหลังสุดนี้เราจึงได้รับคำกล่าวตู่ เพราะเหตุแห่งนางสุนมริกา

ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์ เกิดในตระกูลศูทร เป็นนักเลงชื่อ ปุนาลิ เป็นผู้ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีความชำนาญอะไรอาศัยอยู่ ครั้งนั้นพระปัจเจกพุทธเจ้านามว่า สุรภี มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากได้ไปถึงที่อยู่ของเขาด้วยกิจบางอย่าง พอเขาได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นเท่านั้น เขาได้ด่าว่าด้วยถ้อยคำเป็นต้นว่า สมณะนี้ทุศีล สมณะนี้มีธรรมลามก

เพราะวิบากของอกุศลนั้น เขาจึงได้เสวยทุกข์ในนรกเป็นต้น หลายพันปี ในอัตภาพสุดท้ายนี้ ในตอนที่พระโพธิสัตว์ประทับอยู่ในภพดุสิต พวกเดียรถีย์ปรากฏขึ้นก่อน เที่ยวแสดงทิฏฐิ ๖๒ หลอกลวงประชาชนอยู่นั้น พระองค์ได้จุติจากดุสิตบุรี บังเกิดในสกุลศากยราช เป็นพระพุทธเจ้าโดยลำดับ ได้รับคำกล่าวตู่จากนางสุนทริกา

๓.     กรรมที่ทำให้ถูกกล่าวตู่ (อีก)

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า

ในชาติอื่นในกาลก่อน เราได้กล่าวตู่พระเถระนามว่านันทะ สาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ครอบงำอัตรายทั้งปวง เพราะวิบากของกรรมนั้น เราจึงท่องเที่ยวอยู่ในนรกสิ้นกาลนาน ด้วยผลกรรมที่เหลือในชาตินี้ เราจึงได้รับการกล่าวตู่จากนางจิญจมาณวิกา

ครั้งนั้นพระองค์ทรงแสดง ยมกปาฏิหารย์ เพราะเหตุแห่ง พระปิณโฑลภารทวาชะ แสดงฤทธิ์เหาะขึ้นไปนำบาตรปุ่มไม้จันทน์แดง ของเศรษฐีชาวกรุงราชคฤห์ หลังจากยมกปาฏิหาริย์แล้ว พวกเดียรถีย์เสื่อมจากลาภสักการะ เป็นทุกข์เสียใจ คอตกนั่งก้มหน้าอยู่ เสมือนหิงห้อยตอนพระอาทิตย์ขึ้น มีความผูกอาฆาตในพระผู้มีพระภาคเจ้า ในกาลนั้น อุบาสิกาของพวกเดียรถีย์ ชื่อนางจิญจมาณวิกา ถึงความเป็นผู้เลอเลิศด้วยรูปโฉม ได้ถามอาการพวกเดียรถีย์เหล่านั้น พวกเดียรถีย์กล่าวว่า ดูก่อน น้องหญิง จำเดิมแต่กาลที่สมณโคดมเกิดขึ้นมา พวกเราเสื่อมจากลาภสักการะ ชาวพระนครไม่สำคัญอะไรๆ พวกเรา นางจิญจมาณวิกาถามว่า ในเรื่องนี้ดิฉันควรจะทำอะไร เดียรถีย์ ตอบว่า เธอควรจะยังโทษ มิใช่คุณ ให้เกิดแก่ สมณโคดม นางจิญจมาณวิกา กล่าวว่า ข้อนี้ไม่เป็นการหนักใจสำหรับดิฉัน ดังนี้

เมื่อจะทำความอุตสาหะในการนั้น นางจึงไปยังพระเชตวันวิหารในเวลาวิกาลแล้ว อยู่ในสำนักของพวกเดียรถีย์ ครั้นตอนเช้าในเวลาที่ชนชาวพระนครถือของหอมเป็นต้น ไปเพื่อถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า นางจึงออกมา ทำทีเหมือนออกจากพระเชตวันวิหารเมื่อถูกถามว่านอนที่ไหน จึงกล่าวว่า ประโยชน์อะไรที่จะบอกที่เรานอนแก่พวกท่าน ดังนี้แล้วก็หลีกไปเสีย เมื่อกาลเวลาดำเนินไปโดยลำดับนางถูกถามแล้วกล่าวว่า เรานอนในพระคันธกุฏิเดียวกับพระสมณโคดม พวกปุถุชนเขลาเชื่อดังนั้น แต่บัณฑิตทั้งหลาย มีพระโสดาบันเป็นต้นไม่เชื่อ

วันหนึ่ง นางผูกไม้กลมไว้ที่ท้อง แล้วนุ่งผ้าแดงทับไว้แล้วไปกล่าวกะผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ประทับนั่งเพื่อทรงแสดงธรรมแก่บริษัทพร้อมทั้งพระราชาอย่างนี้ว่า สมณะผู้เจริญ ท่านมัวแต่แสดงธรรม ไม่จัดแจงกระเทียมและพริกเป็นต้น เพื่อเราผู้มีครรภ์ ทารกที่จะเกิดนี้เพราะอาศัยท่าน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนน้องหญิง ท่านกับเราเท่านั้นย่อมรู้ภาวะอันแท้จริง นางจิญจมาณวิกา กล่าวว่า อย่างนั้นทีเดียว เรากับท่านสองคนเท่านั้น ย่อมรู้คราวที่เกี่ยวข้องกันด้วยเมถุน คนอื่นย่อมไม่รู้

ขณะนั้น บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของท้าวสักกะ แสดงอาการเร่าร้อน ท้าวสักกะทรงรำพึงอยู่ ทรงรู้เหตุนั้น จึงตรัสสั่ง เทวบุตร ๒องค์ว่า บรรดาท่านทั้งสอง องค์หนึ่งเนรมิตเพศเป็นหนูกัดเครื่องผูกท่อนไม้กลมของนางให้ขาด องค์หนึ่งทำมณฑลของลมให้ตั้งขึ้นพัดผ้าที่นางหม่ให้ปลิวขึ้นเบื้องบน เทวบุตรทั้งสองนั้น ได้ไปกระทำอย่างนั้นแล้ว ท่อนไม้กลมตกลงทำลายหลังเท้าของนางแตก ปุถุชนทั้งหลาย ผู้ประชุมกันอยู่ในธรรมสถานทั้งหมด พากันกล่าวว่า เฮ้ย นางโจรร้าย เจ้าได้ทำการกล่าวหาความเห็นปานนี้ แก่พระผู้เป็นเจ้าของโลกทั้ง ๓ ผู้เห็นปานนี้ แล้วต่างลุกขึ้นเอากำปั้นประหารคนละทีนำนางออกไปจากที่ประชุม เมื่อนางพ้นไปจากทัศนะ คือการเห็นของพระผู้มีพระภาคเจ้า แผ่นดินได้แยกออกเป็นช่อง ขณะนั้นเปลวไฟจากอเวจีนรกตั้งขึ้น หุ้มห่อนางเหมือนหุ้มด้วยผ้ากัมพลแดงที่ตระกูลให้ แล้วซัดลงไปในอเวจีนรก ด้วยเหตุนี้ ลาภสัการะจึงเกิดมีแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างเหลือล้น ยิ่งกว่าก่อน

๔.     กรรมที่ทำให้ถูกกล่าวตู่อีก

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า

ในกาลก่อนเราเป็นพราหมณ์ชื่อสุตวา สอนมนต์แก่มาณพ ประมาณ ๕๐๐ คนในป่าใหญ่ ได้กล่าวตู่พระฤๅษี ผู้สำเร็จอภิญญา ๔ มีฤทธิ์มาก ว่าเป็นผู้หลอกลวง เป็นผู้บริโภคกาม เพราะวิบากกรรมนั้น ภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปจึงได้รับการกล่าวตู่ด้วยกันทั้งหมดเพราะเหตุแห่งนางสุนทรี

ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลพราหมณ์ เป็นผู้ศึกษาเล่าเรียนมาก คนเป็นอันมากสักการะบูชา ได้บวชเป็นดาบส มีรากเง่าและผลไม้ในป่าเป็นอาหาร สอนมนต์พวกมานพจำนวนมาก สำเร็จการอยู่ในป่าหิมพานต์ มีดาบสรูปหนึ่งได้อภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ ได้มายังสำนักของพระโพธิสัตว์นั้น พอเห็นพระดาบสเท่านั้น ถูกความริษยาครอบงำ ได้ด่าว่าพระฤๅษีผู้ไม่ประทุษร้ายนั้นว่า

ฤๅษีนี้หลอกลวง ฤๅษีนี้บริโภคกาม และบอกกะพวกศิษย์ของตนว่า ฤๅษีนี้เป็นผู้ไม่มีอาจาระเห็นปานนี้ ฝ่ายศิษย์เหล่านั้น ก็พากันด่าบริภาษอย่างนั้นเหมือนกัน ด้วยวิบากของอกุศลกรรมนั้น พระโพธิสัตว์จึงได้เสวยทุกข์ในนรกอยู่พันปี ในอัตภาพหลังสุดนี้ ได้เป็นพระพุทธเจ้า ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยลาภและยศ แต่เพราะวิบากกรรมนั้น ก็ยังถูกกล่าวตู่จากนางสุทรี

แต่นั้น เราได้บอกกะศิยย์ทั้งหลายว่า ฤๅษีนี้เป็นผู้บริโภคกาม แม้เมื่อเราบอกอยู่ มาณพทั้งหลายก็พลอยยินดีตาม แต่นั้น มาณพทุกคนเที่ยวภิกขาไปทุกๆตระกูล ก็บอกกล่าวแก่มหาชนว่า ฤๅษีนี้บริโภคกาม เพราะวิบากของผลกรรมนั้น ภิกษุ ๕๐๐ รูปนี้จึงได้รับกล่าวตู่ด้วยกันทั้งหมด เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา (สุนทรี)

๕.     กรรมที่ทำให้ห้อพระโลหิต

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า

ในกาลก่อนเราได้ฆ่าน้องชายต่างมารดาเพราะเหตุแห่งทรัพย์ จับใส่ลงในซอกเขาและบด (ทับด้วยหิน) ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น พระเทวทัตจึงทุ่มก้อนหินก้อนหินกลิ้งลงมากระทบนิ้วแม่เท้าของเราจนห้อเลือด

ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์และน้องชายเป็นลูกพ่อเดียวกัน เมื่อบิดาล่วงลับไปแล้วพี่น้องทั้งสองนั้นทะเลาะกันเพราะอาศัยพวกทาสจึงได้คิดร้ายกันและกัน พระโพธิสัตว์กดทับน้องชายไว้ ด้วยความที่ตนเป็นผู้มีกำลัง แล้วกลิ้งหินทับลงเบื้องบนน้องชายนั้น เพราะวิบากของกรรมนั้น พระโพธิสัตว์ได้เสวยทุกข์ในนรกเป็นต้น หลายพันปี ในอัตภาพหลังสุดนี้ไดเกิดเป็นพระพุทธเจ้า

พระเทวทัต ผู้เป็นพระปิตุลาของพระราหุลกุมาร ในชาติก่อน เป็นพ่อค้ากับพระโพธิสัตว์ชื่อ เสริพาณิช เมื่อค้าขายไปถึงปัฏฏนคามได้ตกลงกันว่า ท่านจงถือเอาถนนสายหนึ่ง แม้เราก็จะถือเอาถนนสายหนึ่ง ในถนนสายที่พระเทวทัตเข้าไป มีภรรยาเศรษฐีเก่าได้นำถาดทองถูกสนิมจับ โดยไม่รู้ว่าเป็นถาดทอง กล่าวกะท่านเทวทัตว่า ท่านจงเอาถาดใบนี้ไปแล้วจงให้เครื่องประดับมา เทวทัตนั้นจับถาดใบนั้น แล้วเอาเข็มขีดดู รู้ว่าเป็นทอง จึงคิดว่าเราจักให้เงินนิดหน่อย ด้วยความโลภ จึงแกล้งทำทีไม่สนใจเดินหลีกไปเสีย

ลำดับนั้น หลานสาวเห็นพระโพธิสัตว์มายังที่ใกล้ประตู จึงกล่าวว่า ข้าแต่แม่เจ้า ขอท่านจงให้เครื่องประดับ กัจฉปุฏะ แก่ดิฉัน ภรรยาเศรษฐีจึงเรียกพระโพธิสัตว์มา กล่าวว่า ท่านจงถือเอาภาชนะนี้ แล้วให้เครื่องประดับ กัจฉปุฏะ แก่หลานสาวของข้าพเจ้า พระโพธิสัตว์จับดูภาชนะนั้น รู้ว่าเป็นภาชนะทอง และรู้ว่านางถูกพระเทวทัตนั้นลวงจึงเก็บเงิน ๘ กหาปณะไว้ในถุงเพื่อตน แล้วให้เครื่องประดับและสินค้าที่เหลือทั้งหมดแก่นางกุมาริกา แล้วก็ไป

ส่วนเสริพ่อค้านั้นหวนกลับมาถามภรรยาเศรษฐี ๆกล่าวว่านี่แนะพ่อ ก็ท่านไม่เอา จึงมีผู้ให้สิ่งนี้ๆ แล้วถือเอาถาดใบนั้นไปเสียแล้ว พ่อค้านั้นพอได้ฟังดังนั้น มีหทัยเหมือนจะแตกออก จึงวิ่งติดตามไป พระโพธิสัตว์ลงเรือแล่นไปแล้ว พ่อค้านั้นกล่าวว่า หยุด อย่าหนี อย่าหนี แล้วได้ทำความอาฆาตว่า เราจะทำให้มันฉิบหายในภพที่เกิดแล้วๆ

ด้วยอำนาจของความอาฆาต พ่อค้านั้นได้เบียดเบียนกันหลายแสนชาติ ในภพนี้เกิดในศากยตระกูล เมื่อพระพุทธเจ้าบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ แล้วประทับอยู่ในกรุงราชคฤห์โดยลำดับ ได้ไปยังสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมกับเจ้าอนุรุทธะเป็นต้นแล้วบวชเป็นผู้ได้ฌานปรากฏแล้ว ทูลขอพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุสงฆ์ทั้งปวง จงสมาทานธุดงค์ ๑๓ มีการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตรเป็นต้น ภิกษุทั้งสิ้นจงเป็นภาระของข้าพระองค์ พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ทรงอนุญาต พระเทวทัตผูกเวร จึงเสื่อมจากฌาน ต้อการจะปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคเจ้า วันหนึ่งยืนอยู่เบื้องบน พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับยืนอยู่ที่เชิงเขาคิชกูฏ เทวทัตกลิ้งหินจากยอดเขาลงมา ด้วยอานุภาพของพระผู้มีพระภาคเจ้า ยอดเขาอื่นรับเอาก้อนหินที่กำลังตกลงมา สะเก็ดหินที่ตั้งขึ้นเพราะอยอดเขาเหล่านั้นกระทบกัน ปลิวมากระทบหลังพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทำให้ห้อพระโลหิต

๖.     กรรมที่ทำให้ถูกนายขมังธนูพยายามฆ่า

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า

ในกาลก่อนเราเป็นเด็ก เล่นอยู่ที่หนทางใหญ่ เห็นพระปัจกพุทธเจ้าแล้วใส่ไฟเผาดักไว้ทุกหนทาง ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้นในภพหลังสุดนี้พระเทวทัตจึงชักชวนนายขมังธนูผู้ฆ่าคนตายมาก มาเพื่อฆ่าเรา

ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลหนึ่ง ในเวลาเป็นเด็ก กำลังเล่นอยู่ที่ถนนใหญ่ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเที่ยวบิณฑอยู่ตามถนน คิดว่า

สมณะโล้นนี้จะไปไหน จึงก่อไฟเผาล้อมไว้ทั่วทางแล้วเอาสะเก็ดขว้างไปที่หลังเท้าของท่านหนังหลังเท้าขาด โลหิตไหลออก

เพราะกรรมอันลามกนั้น พระโพธิสัตว์ได้เสวยทุกข์อย่างมหันต์ในนรกหลายพันปี ด้วนอำนาจกรรมเก่าก็ได้เกิดการห้อพระโลหิตขึ้น เพราะสะเก็ดหินกระทบที่หลังพระบาท และพระเทวทัตประกอบนายขมังธนูเพื่อพยายามฆ่าเรา

๗.     กรรมที่ทำให้ถูกช้างนาฬาคิรีทำร้าย

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า

ในกาลก่อนเราเป็นนายควาญช้าง ได้ไสช้างให้จับมัดพระปัจเจกพทธเจ้าผู้อุดมมุนีแม้กำลังเที่ยวบิณฑบาต ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ช้างนาฬาคิรีอันดุร้ายวิ่งไล่เรา เข้าไปในนดรราคฤห์

ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นคนเลี้ยงช้าง ขึ้นช้างเที่ยวไปอยู่ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าในหนทางใหญ่ คิดว่า คนหัวโล้นมาจากไหน เป็นผู้มีจิตถูกโทสะกระทบแล้วเกิดเป็นเป็นดุจตะปูตรึงใจ ได้ทำช้างให้ขัดเคือง

ด้วยวิบากของกรรมนั้น พระโพธิสัตว์จึงได้เสยทุกข์ในอบายหลายพันปี ในอัตภาพหลังสุดได้เกิดเป็นพระพุทธเจ้า พระเทวทัตกระทำพระเจ้าอชาติศัตรูให้เป็นสหาย แล้วให้สัญญากันว่า มหาบพิตรพระองค์ปลงพระชนม์พระบิดาแล้ว จงเป็นพระราชา อาตมภาพฆ่าพระพุทธเจ้าแล้วจักเป็นพระพุทธเจ้าดังนี้ อยู่มาวันหนึ่งไปยังโรงช้างตามที่พระราชาทรงอนุญาติ แล้วสั่งคนเลี้ยงช้างว่า พรุ่งนี้ท่านจงให้ช้างนาฬาคิรีดื่มเหล้า ๑๖ หม้อ แล้วจงปล่อยไปในเวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกบิณฑบาต พระนครทั้งสิ้นได้มีเสียงเอิกเกริกมากมายชนทั้งหลายกล่าวกันว่า เราจักดูการต่อยุทธ์ของช้างกับนาค (นาคคือพระพุทธเจ้า) ดังนี้แล้วพากันผูกเตียง ตั้งเตียงซ้อนกันในถนนหลวงจากด้านทั้งสองแล้วประชุมกันแต่เช้าตรู่

ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงกระทำการปฏิบัติพระสรีระแล้ว มีหมูภิกษุห้อมล้อม เสด็จไปบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์ ขณะนั้นพวกคนเลี้ยงช้างปล่อยช้างนาฬาคิรี โดยทำนองที่กล่าวแล้วนั้นแหละ ช้างนาฬาคิรี ทำลายถนน และทางสี่แพร่งเป็นต้นเดินมา ครั้งนั้นหญิงผู้หนึ่งพาเด็กเดินข้ามถนน ช้างเห็นหญิงนั้นจึงไล่ตามพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า นี่แนะนาฬาคิรี เธอมิได้ถูกส่งมาเพื่อฆ่าหญิงนั้น เธอจงมาทางนี้ ช้างนั้นได้ฟังเสียงนั้นแล้ว ก็วิ่งบ่ายหน้ามุ่งไปทางพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแผ่เมตตาอันควรแก่การแผ่ไปในจักรวาล อันหาประมาณมิได้ในสัตว์อันหาที่สุดมิได้ ไปในช้างนาฬาคิรีตัวเดียวเท่านั้น ช่างนาฬาคิรีนั้น อันพระเมตตาของพระผู้มีพระภาคเจ้า กลายเป็นช้างที่ไม่มีภัย หมอบลงแทบบาทมูลของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงวางพระหัตถ์ลงบนกระหม่อมของช้างนาฬาคิรีนั้น ครั้งนั้น เทวดาและพรหมเป็นต้นเกิดอัศจรรย์ไม่เคยเป็น จึงพากันบูชาด้วยดอกไม้และเกษรดอกไม้ เป็นต้นในพระนครทั้งสิ้นได้มีกองทรัพย์ประมาณถึงเข่า พระราชารับสั่งให้เที่ยวตีกลดงป่าวร้องว่า ทรัพย์ที่ประตูด้านทิศตะวันตกจงเป็นของชาวพระนคร ทรัพย์ที่ประตูด้านทิศตะวันออก จงนำเข้าท้องพระคลังหลวง คนทั้งปวงกระทำอย่างนั้นแล้วในครั้งนั้นช้างนาฬาคิรีได้มีชื่อว่า ธนบาล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จไปยังเวฬุวนาราม

๘.     กรรมที่ทำให้ถูกผ่าตัดด้วยศาสตรา

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า

ในกาลก่อนเราเป็นแม่ทัพ ฆ่าบุรุษเป็นอันมากด้วยหอก ด้วยวิบากแห่กรรมนั้น เราถูกไฟไหม้เผ็ดร้อนอยู่ในนรก ด้วยผลที่เหลือแห่งกรรมนั้น บัดนี้ไฟยังไหม้ที่ผิวหนังของเราอีกเพราะว่ากรรมยังไม่พินาศไป

ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์เป็นพระราชา ในปัจจันตประเทศ บำเพ็ญตนเป็นนักเลง ด้วยอำนาจการคลุกคลีกับคนชั่ว และด้วยอำนาจของการอยู่ในปัจจันตประเทศ จึงเป็นคนหยาบช้า อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาถือมีดเดินเท้าเปล่าไปเที่ยวในเมืองได้เอามีดฆ่าฟันคนผู้ไม่มีความผิดได้ไปแล้ว

ด้วยวิบากของกรรมอันลามกนั้น พระโพธิสัตว์ได้หมกไหม้อยู่ในนรกหลายพันปี เสวยทุกในทุคติ มีสัตว์เดียรฉานเป็นต้น ด้วยวิบากที่เหลือในอัตภาพหลังสุดแม้จะได้เป็นพระพุทธเจ้า หนังพระบาทได้เกิดห้อพระโลหิตขึ้น เพราะก้อนหินที่พระเทวทัตกลิ้งใส่ มากระทบเอา โดยนัยดังกล่าวในหนหลัง หมอชีวก ผ่าหนังที่บวมขึ้นนั้นด้วยจิตเมตตา การทำพระโลหิตให้ห้อขึ้นของพระเทวทัตผู้มีจิตเป็นข้าศึก ได้เป็นอนันตริยกรรม ส่วนการผ่าหนังพระบาทที่บวมขึ้น ของหมอชีวก ผู้มีจิตเมตตา ได้เป็นบุญอย่างเดียว

๙.     กรรมที่ทำให้ปวดศีรษะ

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า

ในกาลก่อน เราเป็นเด็กลูกของชาวประมง อยู่ในบ้านเกวัฏฏคาม เห็นคนทั้งหลายฆ่าปลาด้วยการทุบหัว แล้วเกิดการโสมนัส ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ความทุกข์ที่ศีรษะ(ปวดหัว) จึงมีแก่เรา

ในกาลอดีต พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นชาวประมง ในหมู่บ้านชาวประมง วันหนึ่งพระโพธิสัตว์กับพวกบุรุษชาวประมงไปยังที่เขาฆ่าปลา เห็นปลาทั้งหลายตาย ได้ทำโสมนัสให้เกิดขึ้นในข้อที่ปลาตายนั้น แม้บุรุษชาวประมงที่ไปด้วยกันก็ทำความโสมนัสให้เกิดขึ้นอย่านั้นเหมือนกัน

การรู้สึกยินดีด้วยอกุศลกรรมนั้น พระโพธิสัตว์ ได้เสวยทุกข์ในอบายทั้ง ๔ ในอัตภาพหลังสุดนี้ ได้บังเกิดในตระกูลศากยราช พร้อมกับบุรุษเหล่านั้น แม้จะได้บรรลุความเป็นพระพุทธเจ้าโดยลำดับแล้วก็ยังได้เสวยความเจ็บปวดที่ศีรษะด้วยตนเอง และเจ้าศากยะเหล่านั้นถึงความพินาศกันหมด ในสงครามของเจ้าวิฑฑูภะ โดยนัยดังกล่าวไว้ในอรรถกถาธรรมบท

๑๐.     กรรมที่ทำให้ได้เสวยข้าวแดง

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า

เราได้บริภาษพระสาวกทั้งหลายในศาสนาของพระพุทธเจ้า พระนามว่า ผุสสะ ว่าท่านทั้งหลายจงเคี้ยว จงกินแต่ข้าวแดง อย่ากินข้าวสาลีเลย ด้วยวิบากกรรมนั้น เราอันพราหมณ์นิมนต์แล้ว อยู่ในเมืองเวรัญชรา บริโภคข้าวแดงตลอด ๓ เดือน ในกาลนั้น

ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลหนึ่ง เพราะอำนาจของชาติตระกูล และเพราะความเป็นอันธพาล ได้เห็นสาวกทั้งหลายของพระผู้มีพระภาคเจ้าผุสสะ ฉันข้าวน้ำอันอร่อย และโภชนะแห่งข้าวสาลีเป็นต้น จึงด่าว่า เฮ้ย พวกสมณะสมณะโล้น พวกท่านจงกินข้าวแดงเถอะ อย่ากินโภชนะแห่งข้าวสาลีเลย

เพราะวิบากแห่งอกุศลกรรมนั้นพระโพธิสัตว์เสวยทุกข์อยู่ในอบายทั้ง๔ หลายพันปี ในอัตภาพหลังสุดนี้ ถึงความเป็นพระพุทธเจ้าโดยลำดับ เมื่อทรงกระทำความอนุเคราะห์ชาวโลก เสด็จเที่ยวไปในคามนิคมและราชธานีทั้งหลาย สมัยหนึ่งเสด็จถึงโคนไม้สะเดา อันสมบูรณ์ด้วยกิ่ง และคาคบ ณที่ใกล้เวรัญชพราหมณคาม เวรัญชพราหมณ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูลว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ การเสด็จเข้าจำพรรษาในที่นี้แหละย่อมควร พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับคำนิมนต์โดยดุษณีภาพ

ครั้นจำเดิมแต่วันรุ่งขึ้นไป มารผู้มีใจบาป ได้ทำการดลใจชาวบ้านเวรัญชพราหมณคาม ทั้งสิ้น ไม่มีแม้แต่คนเดียวผู้จะถวายภิกษาสักทัพพีหนึ่งแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เข้าไปบิณฑบาต เพราะเนื่องด้วยมารดลใจ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีบาตรเปล่า อันภิกษุห้อมล้อมเสด็จกลับมา เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จกลับมาอย่างนั้น พวกพ่อค้าม้าที่อยู่ในที่นั้นแหละ ได้ถวายทานในวันนั้น จำเดิมแต่วันนั้นไป ได้นิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้ามีภิกษุ ๕๐๐เป็นบริวาร แล้วทำการแบ่งอาหารจากอาหารของม้า เอามาซ้อมเป็นข้าวแดง แล้วใส่ลงในบาตรของภิกษุทั้งหลาย เทวดาใบพันจักรวาลทั้งสิ้น พากันใส่ทิพโอชะให้พระองค์เสวยเหมือนในวันที่นางสุชาดาหุงข้าวปายาส พระองค์เสวยข้าวแดงตลอดไตรมาสด้วยประการอย่างนี้

เมื่อเวลาล่วงไป ๓ เดือน การดลใจของมารก็หายไป ในวันปวารณา เวรัญชพราหมณ์ระลึกขึ้นได้ ยังความสลดใจอย่างใหญ่หลวง จึงถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ถวายบังคมแล้วขอให้ทรงอดโทษ

๑๑.     กรรมที่ทำให้ปวดหลัง

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า

ในกาลก่อนเมื่อนักมวยกำลังชกกันเรา ได้เบียดเบียนบุตรนักมวยปล้ำด้วยการหักกระดูกไหล่ให้ล้มลง ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้นความทุกข์ที่หลัง(ปวดหลัง)ได้มีแล้วแก่เรา

ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลคหบดี สมบูรณ์ด้วยกำลัง ได้เป็นคนค่อนข้างเตี้ย สมัยนั้น นักมวยปล้ำคนหนึ่ง เที่ยวไปในคามนิคม และธานีทั้งหลายในชมพูทวีปทั้งสิ้น ได้ทำพวกบุรุษล้มลง ได้รับชัยชนะ มาถึงเมืองอันเป็นที่อยู่ของพระโพธิสัตว์โดยลำดับ ได้ทำพวกคนในเมืองให้ล้มลง แล้วเริ่มจะกลับไป คราวนั้นพระฑิสัตว์คิดว่า ผู้นี้ได้รับชัยชนะ ในที่เป็นที่อยู่ของเราแล้วก็จะไป จึงมายังบริเวณพระนครในที่นั้น ปรบมือแล้วกล่าวว่า ท่านจงมา จงต่อสู้กับเราแล้วค่อยไป

นักมวยปล้ำนั้นหัวเราะ แล้วคิดว่า พวกบุรุษใหญ่โต เรายังทำให้ล้มได้ บุรุษผู้นี้เป็นคนเตี้ย มีธาตุเป็นคนเตี้ย ย่อมไม่เพียงพอแก่มือข้างเดียว จึงปรบมือรับ แล้วเดินเข้ามา คนทั้งสองนั้นจับมือกันและกัน

พระโพธิสัตว์ยกนักมวยปล้ำคนนั้นขึ้น แล้วหมุนในอากาศ เพื่อจะให้ตกลงบนภาคพื้นดิน ได้ทำลายกระดูกไหล่แล้วให้ล้มลง

ชาวพระนครทั้งสิ้นทำการโห่ร้อง ปรบมือบูชาพระโพธิสัตว์ด้วยผ้าและอาภรณ์เป็นต้น พระโพธิสัตว์ให้นักต่อสู้ด้วย มวยปล้ำนั้นยืนตรงกระทำกระดูกไหล่ให้ตรงแล้วกล่าวว่า ตั้งแต่นี้ไป ท่านจงอย่ากระทำกรรมเห็นปานนี้ แล้วส่งไป

ด้วยวิบากของกรรมนั้น พระโพธิสัตว์ ได้เสวยทุกข์ที่ร่างกายและศีรษะเป็นต้น ในภพที่เกิดแล้วๆ ในอัตภาพหลังสุด แม้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ได้เสวยทุกข์ มีการเสียดแทงที่หลัง เป็นต้น เพราะฉะนั้น เมื่อความทุกข์ที่เบื้องพระปฤษฏางค์เกิดขึ้น ในกาลบางคราว พระองค์จึงตรัสกะ พระสารีบุตร และพระโมคคัลานะ ว่า จำเดิมแต่นี้ไป พวกเธอจงแสดงธรรม แล้วพระองค์ทรงลาดสุคตจีวรแล้วบรรทม ขึ้นชื่อว่ากรรมเก่า แม้พระพุทธเจ้าก็ไม่พ้นไปได้

๑๒.     กรรมที่ทำให้ลงพระโลหิต

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า

ในกาลก่อนเราเป็นหมอรักษาโรค ได้ถ่ายยาให้บุตรเศรฐีจนตาย ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น โรคปักขันทิกาพาธจึงมีแก่เรา

ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลคหบดี เลี้ยงชีพด้วยเวชกรรม พระโพธิสัตว์นั้น เมื่อเยียวยาบุตรของเศรษฐีคนหนึ่งผู้ถูกโรคครอบงำ จึงปรุงยาแล้วเยียวยา อาศัยความประมาทในการให้ไทยธรรมของบุตรเศรษฐีนั้น จึงให้โอสถอีกขนานหนึ่ง ให้กระทำการถ่ายโดยการสำรอกออก เศรษฐีได้ให้ทรัพย์เป็นอันมาก

ด้วยวิบากกรรมนั้น พระโพธิสัตว์จึงได้อาพาธด้วยโรคลงพระโลหิตครอบงำ ในภพที่เกิดแล้วๆ ในอัตภาพหลังสุดนี้ ในปรินิพพานสมัย จึงได้มีการถ่ายด้วยการลงพระโลหิต ในขณะที่เสวยสูกรมัททวะ ที่นายจุนทะกัมมารบุตรปรุงถวาย พร้อมกับพระกระยาหารอันมีทิพโอชะที่เทวดาในจักรวาลทั้งสิ้นใส่ลงไว้ กำลังช้างแสนโกฏิเชือกได้ถึงความสิ้นไป ในวันเพ็ญเดือน ๖ พระผู้มีพระภาคจาเสด็จดำเนินไป เพื่อต้องการปรินิพพานในเมืองกุสินารา ประทับนั่งในที่หลายแห่ง กระหายน้ำ ทรงดื่มน้ำ ทรงถึงเมืองกุสินาราด้วยความลำบากอย่างมหันต์ แล้วเสด็จปรินิพพานในเวลาปัจจุสมัยใกล้รุ่ง แม้พระผู้เป็นเจ้าของไตรโลกเห็นปานนี้ กรรมเก่าก็ไม่ละเว้น

๑๓.     กรรมที่ได้กระทำทุกรกิริยา

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า

ในกาลนั้น เราเป็นพราหมณ์ ชื่อโชติปาละ ได้กล่าวกะพระกัสสปสุคตเจ้าว่า จักมีโพธิมณฑลแต่ที่ไหน โพธิญาณ ท่านได้ยากอย่างยิ่ง เพราะวิบากของกรรมนั้นเราได้ประพฤติกรรมที่ทำได้ยาก เราต้องทำทุกรกิริยามากมาย อยู่ที่ตำบลอุรุเวลาถึง ๖ ปี จากนั้นจึงได้บรรลุพระโพธิญาณ เราไม่ได้บรรลุพระโพธิญาณอันสูงสุดโดยหนทางนั้น เราถูกกรรมเก่าห้ามไว้ จึงได้แสวงหาโดยทางผิด บัดนี้เรามีบุญและบาปสิ้นไปหมดแล้ว เว้นจากความเร่าร้อนทั้งปวง ไม่มีความโศก ไม่มีความคับแค้น เป็นผู้ไม่มีอาสวะ จักปรินิพพาน

ในกาลแห่งพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีต พระพุทธเจ้าเกิดเป็นพราหมณ์มานพชื่อว่าโชติปาละ โดยที่เป็นชาติพราหมณ์จึงไม่เลื่อมใสในพระศาสนา ได้กล่าวว่า

การตรัสรู้ของสมณะโล้นจักมีมาแต่ที่ไหน

การตรัสรู้เป็นของที่ได้โดยยากยิ่ง

เพราะวิบากของกรรมที่กล่าวนั้น พระองค์จึงได้เสวยทุกข์มีนรกเป็นต้น หลายร้อยชาติ ในภพสุดท้ายได้อัตภาพเป็นพระเวสสันดร จุติจากอัตภาพนั้นแล้วบังเกิดในภพดุสิต จุติจากภพดุสิตนั้นด้วยการอาราธนาของเหล่าเทวดา บังเกิดในศากยตระกูล เพราะญาณแก่กล้า จึงละทิ้งราชสมบัติในสกลชมพูทวีปเสีย แล้วตัดกำพระเกศาด้วยดาบที่ฝั่งแม่น้ำอโนมานที รับบริขาร ๘ อันสำเร็จด้วยฤทธิ์ซึ่งพระพรหมนำมาให้ แล้วบรรพชา

แต่เพราะพระโพธิญาณยังไม่แก่กล้า จึงไม่รู้จักทางแห่งความเป็นพระพุทธเจ้า หลงเดินทางผิด ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา มหาปธาน ความเพียรใหญ่ จนเป็นผู้มีสรีระเช่นกับเปรต ผู้ไม่มีเนื้อและเลือด เหลือแต่กระดูกและหนัง ด้วยอำนาจที่บริโภคอาหารมื้อเดียว คำเดียว เป็นผู้เดียว ทางเดียว และนั่งผู้เดียว ณ อุรุเวลาชนบท ถึง ๖ พรรษา

เมื่อพระโพธิสัตว์ นึกถึงทุกรกิริยานั้นว่า นี้ไม่ใช่ทางแห่งการตรัสรู้ จึงกลับไปเสวยอาหารประณีตในคามนิคม และราชธานี กลับมีอิทรีย์ผ่องใส มีมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ครบบริบูรณ์ เสด็จเข้าไปยังโพธิมัณฑ์โดยลำดับ ชนะมารทั้ง ๕ ได้เป็นพระพุทธเจ้า

ท่านจึงกล่าวว่า เพราะวิบากของกรรมนั้น เราจึงต้องทำทุกรกิริยามากมาย อยู่ที่ตำบลอุรุเวลาถึง ๖ ปี จากนั้นจึงได้บรรลุ พระโพธิญาณ

พระชินเจ้าทรงบรรลุอภิญญาพละทั้งปวง ทรงเล่าอดีตกรรมของพระองค์ต่อหน้าภิกษุสงฆ์ ณ อโนดาตสระใหญ่ ด้วยประการฉะนี้แล

คัดลอกและตัดตอนมาจาก

พระพุทธประวัติ

“คุยกันวันพุธ” เล่ม ๒๘

โดย คณะสหายธรรม